Skip to main content

Posts

Showing posts from December, 2014

กลยุทธ์ ในการเขียน Business Plan

Business Plan เปรียบเสมือนแผนที่สำหรับการดำเนินการทางธุรกิจ ซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่างมาก มันต้องมีความครอบคลุมในทุกๆด้านที่มีผลกระทบกับการทำธุรกิจ โดย หลักในการเขียน Business Plan มีสิ่งสำคัญในการเขียนเป็นหัวข้อหลักๆ ดังนี้    1.) Products or services  :  สินค้า หรือ บริการ คืออะไร สิ่งที่คุณกำลังนำเสนอให้กำลังนำเสนอให้กับลูกค้าคืออะไร ลูกค้าจะได้ประโยชน์อะไร และทำไมลูกค้าถึงต้องการสินค้า หรือบริการของเรา    2.) Target Customer  :  กลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นใคร โดยอาจจะแบ่งเป็นช่วงอายุ ตามสถานที่ ตามเพศ ตามรายได้ ฯลฯ     3.) SWOT analysis  :  วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน รวมถึงอุปสรรค์และแรงส่งของเรา เพื่อให้เราสามารถมองเห็นตัวเราเองได้อย่างชัดเจนขึ้น โดยจุดแข็ง และจุดอ่อนเป็นการวิเคราะห์ภายในตัวของเราเอง หรือบริษัทของเรา ส่วนซึ่งเราสามารถแก้ไขปรับปรุงเองได้ ส่วนอุปสรรค์ และแรงส่งนั้นเป็นการวิเคราะห์ปัจจัยภายนอกตัวเรา ซึ่งเราไม่สามารถที่จะทำการแก้ไขปรับปรุงสิ่งต่างๆเหล่านั้นด้วยตัวเองได้    4.) Marketing Strategies  :  กลยุทธ์ทางการตลาด เพื่อชี้ให้เห็นว่าเราจะใช้กลยุทธ์ทางการตล

หลักในการสร้างนวัตกรรมเพื่อความสะดวกในชีวิตประจำวัน

หลักในการสร้างนวัตกรรม ประโยชน์ในการที่จะสร้างนวัตกรรม ก็เพื่อที่จะทำให้ การทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันนั้นสามารถที่จะทำได้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น โดยความต้องการความสะดวกสบายของมนุษย์เรานั้นผลักดันให้เราต้องทำการพัฒนา วิจัย ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆออกมาให้ผู้คนสามารถในไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้นอยู่เสมอ หลักคิดในการสร้างนวัตกรรม ต้องพยายามออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เน้นให้สามารถใช้งานได้ง่าย สามารถใช้ได้ทุกคน เน้นไปที่ศักยภาพในการออกแบบ โดยไอเดียที่ดีจะสามารถช่วยให้ประหยัดเวลาได้ ต้องมีการสร้างต้นแบบเพื่อทดลอง และตรวจสอบผลิตภัณฑ์ เพื่อใช้ในการพัฒนาต่อยอดต่อไป ต้องลองตรวจสอบสิ่งต่างๆในชีวิตประจำวันว่า มีสิ่งใดที่ยังขาดไป หรือสิ่งใดที่ยังสามารถนำมาพัฒนาต่อยอดได้อีก หลังจากสามารถพัฒนาสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้แล้ว อย่าลืมที่จะจดสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์นั้นๆ ด้วย ที่มา : 100 business ideas

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับทอง

   คุณรู้หรือไม่ว่าทอง ๑ บาทที่เราๆพูดกันนั้น จริงๆแล้วมันหนักเท่าไหร่ แล้วทองแท่ง กับ ทองรูปพรรณหนึ่งบาทหนักเท่ากันหรือไม่ เรามีคำตอบ ทองแท่งกับทองรูปพรรณนั้น แม้จะบอกว่าหนัก ๑ บาทเท่ากัน แต่จริงๆแล้วน้ำหนักไม่เท่ากัน โดย ๑.  ทองคำแท่ง น้ำหนัก ๑ บาท จะหนักเท่ากับ ๑๕.๒๔๔ กรัม  ๒. ทองรูปพรรณ น้ำหนัก ๑ บาท จะหนักเท่ากับ ๑๕.๑๖๐ กรัม    ความบริสุทธิ์ของทองคำแท่งนั้นจะมีควาบริสุทธิ์อยู่ที่ ๙๙.๙๙%  ซึ่งภาษาสากลของนักค้าทองเรียกกันว่า ทอง 24K หรือทองคำสวิส ทองคำบริสุทธิ์มีคุณสมบัติข้อหนึ่งคือ ความอ่อนตัว สามารถทุบจนบางเป็นทองคำเปลวได้ ความอ่อนตัวนี้จึงไม่เหมาะที่จะนำทองคำบริสุทธิ์ไปทำทองรูปพรรณ เพราะจะขาดหรือบิดงอเสียรูปได้ง่าย    โดยทองรูปพรรณที่นั้นมีความบริสุทธิ์ที่ ๙๖.๕% เป็นมาตรฐานเดียว โดยได้รับการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพโดยสมาคมค้าทองคำ(เป็นมาตราฐานของประเทศไทย)    ด้วยเหตุผลหลัก ๒ ประการคือ ความแข็งแกร่งในเนื้อทองที่เพียงพอ ไม่ขาดง่าย และสามารถรักษารูปทรงให้คงทน แต่ก็มีความอ่อนตัวเพียงพอสำหรับการผลิตและตบแต่ง ค่ากำเหน็จไม่สูง และประการที่ ๒ ค่าความบริสุทธิ์ของเนื้อท

เมืองจราจรจำลอง สวนรถไฟ

   หลายๆคนคงเคยไปเที่ยวสวนรถไฟ หรือสวนวชิรเบญจทัศ ที่เมือ ก่อนเคยเป็นสนามกอล์ฟรถไฟมาก่อน สวนรถไฟนี้มีความแตกต่างที่เด่นกว่าสวนสาธารณะอื่นๆ ตรงที่อนุญาติให้นำรถจักรยานเข้าไปในขี่ในสวนได้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดามากที่จะได้เห็นคนที่ชื่นชอบในการขี่รถจักรยานเข้าไปเที่ยว พักผ่อนกันเป็นจำนวนมาก    แต่ที่จะแนะนำในวันนี้คือ ในสวนรถไฟแห่งนี้ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่เป็นสถานที่ที่น่าสนใจ นั้นคือ เมืองจราจรจำลอง (โดยมี Toyota เป็นผู้ให้การสนับสนุน) ในเมืองจราจรจำลองนั้น เด็กๆ สามารถเข้าไปเรียนรู้เกี่ยวกับการขับขี่โดยเคารพกฎจราจรได้ (แต่ไฟแดงพี่ใช้เวลานานเกินไปนะครับ จอดรออย่างร้อนเลย) อีกอย่างหนึ่งที่มีในส่วนของ เมืองจราจรจำลอง ก็คือการจำลองเอาสถานที่สำคัญๆ มาสร้างเอาไว้ด้วย เช่น สะพานพระราม8 ภูเขาทอง อนุสาวรีชัยสมรภูมิ    สำหรับครอบครัวที่มีเด็กเล็กๆ ผมขอแนะนำให้พาเด็กมาฝึกขี่จักรยานที่สวนรถไฟนี้ และอย่าลืมที่จะมาแวะที่เมืองจราจรจำลองนี้ด้วยนะครับ   สุดท้ายขอขอบคุณ TOYOTA ที่ให้ความสำคัญกับการตอบแทนกลับคืนสู่สังคม โดยเฉพาะการทำสิ่งดีๆ ให้กับเด็กๆครับ (ถนน เลน ไฟจราจร สิ่งก่อสร้าง

ทักษะการจัดการ 8 อย่างของเถ้าแก่ Enterprise skill

ทักษะการจัดการ 8 อย่างของเถ้าแก่ Enterprise skill ในการจะเป็นเถ้าแก่ หรือผู้ประกอบการได้นั้น จำเป็นที่จะต้องมีทักษะต่างๆมากมาย เพราะ ตัวเราเองจะต้องเป็นผู้ที่ตัดสินใจ และนำพาองค์กรของเราไปข้างหน้า โดย ทักษะต่างๆที่สำคัญๆ จะแบ่งเป็น 8 ส่วนใหญ่ ดังนี้ ทักษะการจัดการ 8 ประการ 1.การมอบหมายงาน 2.ให้คำแนะนำ 3.ติดตามผลงาน 4.ให้คำชมเชย 5.แก้ปัญหา 6.ให้คำชี้แนะตักเตือน 7.ให้ความช่วยเหลือ 8.การรายงานผล เพื่อลงในรายละเอียดเพิ่มอีกสักหน่อย เราได้แยกแยะรายละเอียดอีกเล็กน้อยลงเป็นหัวข้อด้านล่าง 1.) การมอบหมายงาน -บอกรายละเอียดงานที่ทำ -คุณภาพที่ต้องการ -ปริมาณที่ต้องการ -กำหนดเวลาที่งานต้องเสร็จ -สมเหตุสมผล -ย้ำถึงการติดตามงาน 2.) ให้คำแนะนำ งานที่มอบหมายงาน ควรให้คำชี้แนะในเรื่อง -เครื่องมือและอุปกรณ์ -วิธีการ -การเปลี่ยนแปลง -รายละเอียดของการทำงาน -วัตถุดิบที่ต้องใช้ -แหล่งที่มาของวัตถุดิบและอุปกรณ์ -ผู้ที่เกี่ยวข้อง 3.) ติดตามผลงาน -เปรียบเทียบสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับสิ่งที่ควรจะเป็น -เปรียบเทียบผลงานที่ได้กับแผนงาน 4.) ให้คำชมเชย -ตั้งอยู่บนข้อมูลที่ปรากฎ -คำชมเชยจะมีประ

กฏทอง 9 ข้อ สำหรับคนที่อยากรวย

กฏทอง 9 ข้อ สำหรับคนที่อยากรวย 1.) "ความรู้ทางการเงิน" สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่า "ความรู้ทางการงาน" เพราะในชีวิตของคนเราทุกคนนั้น จะมีช่วงที่จะสามารถหา "รายได้จากการทำงาน" (you at work) จำกัด และจะต้องมีชีวิตหลังเกษียณค่อนข้างยาวนาน จึงต้องรู้วิธีที่จะ "ใช้เงินให้ทำงาน" (money at work)   การออมเป็น "เกมแห่งระยะเวลา" (game of time) ใครเริ่มต้นก่อน ก็รวยก่อน เพราะยิ่งทิ้งไว้นาน ยิ่งได้เป็นกอบเป็นกำ ถือเป็น "เงื่อนไขจำเป็น" ของทุกคนที่มีเป้าหมายต้องการบรรลุสู่อิสรภาพทางการเงิน   2.) การลงทุนเป็น "เกมแห่งจังหวะเวลา" (game of timing) ต้องรู้จังหวะในการเข้าออกจากตลาดที่เหมาะสม ซื้อเมื่อต่ำ ขายเมื่อสูง หยุดเมื่อสงสัย เพราะถ้าหากเข้าผิดจังหวะ ยิ่งทิ้งไว้นาน จะยิ่งเสียหายมาก และทำให้โอกาสที่จะได้ทุนคืนยากขึ้นเรื่อยๆ (losses are harder to regain)    3.) การตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนไม่ใช่การตัดสินใจซื้อสินค้าสำเร็จรูป (product) แบบที่ตัดสินใจตอนซื้อครั้งเดียวจบ ถ้าไม่ได้ผล หรือใช้แล้วไม่พอใจ ก็ทิ้งมันไว้เฉยๆ จริงๆ แล้วการล

กลยุทธ์ ในการวางเป้าหมาย

   การที่คนเราจะประสบความสำเร็จได้นั้น อย่างแรกที่เราจำเป็นจะต้องทำ ก็คือ"การตั้งเป้าหมาย" จากนั้นเราจึงมาทำการวางแผน และสุดท้ายก็คือ การลงมือทำตามแผนการที่เราได้วางไว้นั้นจนกระทั้งประสบความสำเร็จ ตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ในที่สุด     แต่ก็เป็นที่น่าแปลกใจที่ยังมีคนอีกเป็นจำนวนมาก ที่ใช้ชีวิตโดยไม่มีการวางแผนการใดๆเลย โดยมีเหตุผลต่างๆนาๆเช่น  ไม่เข้าใจความสำคัญของเป้าหมาย (ไม่รู้ว่าจะตั้งเป้าหมายอย่างไร) หรือ กลัวความล้มเหลว (ไม่สามารถทำตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ได้)    การที่เราไม่วางเป้าหมายอะไรเลยนั้น จะส่งผลให้เราไปไม่ถึงจุดหมายที่เราต้องการ เหมือนกับการเดินทางโดยไม่มีแผนที่นำทาง ดังนั้นหากเราต้องการที่จะประสบความสำเร็จอะไรสักอย่างให้ได้นั้น เราจำเป็นที่จะต้องทำการวางเป้าหมาย ซึ่งสามารถทำได้โดยใช้หลักการ "GOALS" โดย   G  :  Get to it  คือ เริ่มลงมือทำทันที ทุกเป้าหมายจะสำเร็จได้ ก็ต้องเริ่มมาจากการเริ่มลงมือทำ "หนทางหมื่นลี้ ยอมเริ่มด้วยก้าวแรกเสมอ"   O  :  Opportunity  คือ โอกาสที่จะได้ทำ หากยังไม่มีโอกาสนั้น เราจำเป็นที่จะต้องแสวงหาโอกาสเหล