Skip to main content

Posts

Showing posts from 2017

เพิ่มประสิทธิภาพในการมอบหมายงานด้วยหลัก 5 ประการ

ที่มา www.inc.com เห็นว่ามีเนื้อหาน่าสนใจดีนะครับ เลยอยากจะเก็บไว้ และแบ่งปันกัน    เมื่อเราเปลี่ยนสถานะจากลูกน้องตัวเล็กสุด มาเป็นหัวหน้า สิ่งที่ตามมาก็คือความรับผิดชอบที่มากขึ้น และเป็นเรื่องปกติที่ไอ้เจ้าความรับผิดชอบนั้นก็มักจะเกิดกว่าเวลาที่เรามี นั้นคือเหตุผลที่หัวหน้าจะต้องมีลูกน้อง เพื่อให้หัวหน้าได้มอบหมายงานต่างๆให้ทำ เพื่อให้ทีมสามารถทำงานต่างๆได้สำเร็จ    แต่ก็อีกนั้นแหละ การเปลี่ยนจากลงมือทำเอง ไปเป็นมอบหมายงานให้คนอื่นทำ จริงๆแล้วเป็นความท้าทายอย่างมาก เพราะยังไงซะสั่งตัวเองทำ มันก็ได้ดังใจอยู่แล้ว แต่พอเป็นคนอื่นทำ (ถึงจะดีเลิศ) ก็ไม่ค่อยจะได้ดั่งใจเท่าไร    นั้นคือเหตุผลที่ทำให้หัวหน้าหลายๆคน ที่เคยทำงานได้ดีมากในตอนเป็นลูกน้อง แต่กลับทำงานตอนเป็นหัวหน้าได้ไม่ดีเลย หลักๆก็เพราะไม่สามารถมอบหมายงานได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นเอง หลักในการเพิ่มประสิทธิภาพในการมอบหมายงาน 5 ประการ คือ 1.  ต้องให้ความชัดเจน  :  เป้าหมายที่ต้องการ ระยะเวลา รูปแบบ หรืออะไรก็ตามที่คุณต้องการให้ลูกทีมเข้าใจ ให้มีความชัดเจนที่สุดที่จะทำได้ การพูดเป้าหมายที่กว้างมากจะทำให้ลูกทีมไม่สามา

3 เทคนิคการช่วยให้เด็กๆ ฟังเรามากยิ่งขึ้น

   เป็นเรื่องธรรมดามากที่พ่อแม่ผู้ปกครอง มักจะต้องสูญเสียพลังงานจำนวนมหาศาลในการที่จะทำให้ เด็กๆฟังและลงมือทำตาม เพราะเด็กๆมักจะไม่ฟังและแน่นอนไม่ทำตามสิ่งที่พ่อแม่บอกให้ทำ    ไม่ต้องตกใจครับ ใช่แล้วมันไม่ได้เกิดขึ้นกับแค่ครอบครัวของคุณ มันเป็นธรรมชาติของเด็ก ดังนั้นในบทความนี้เรามีข้อแนะนำในการพูดคุยกับเด็ก โดยอาศัยจิตวิทยามานำเสนอ โดยหวังว่าคงมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย (original article :  www.workingmother.com )    1.)  ได้ แต่  :  เนื่องจากเด็กไม่ชอบที่จะถูกปฏิเสธ ดังนั้นเมื่อคุณตอบคำขอต่างๆของเขาด้วยคำว่า ไม่ เด็กจะเกิดการต่อต้านคุณในทันที ดังนั้นพ่อแม่จะต้องรู้ถึงวิธีในการปฏิเสธ โดยไม่ใช้คำว่า ไม่ เช่น ถ้าเด็กถามว่า "หนูขอดูโทรทัศน์ได้มั้ยค่ะ" แทนที่จะตอบว่า "ไม่ได้ ไปทำการบ้านให้เสร็จก่อน" เด็กจะรูัสึกว่าถูกปฏิเสธ ให้ตอบว่า "ได้สิ แต่จะต้องทำการบ้านให้เสร็จก่อนนะ"    2.)  ทำให้มันเป็นนิทานซะ  :  ถ้าหากว่าการจะให้เด็กๆ ไปอาบน้ำแปรงฟันมันเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากแล้วล่ะก็ ถ้าหากว่าเรามันทำให้เป็นเรื่องที่น่าสนุกขึ้นจะเป็นอย่างไรนะ เช่นใ

หัวหน้าของเรา เป็น ผู้จัดการ หรือ เป็น ผู้นำ

อย่างแรกเลยคือ อะไรคือความแตกต่างกันระหว่าง ผู้นำ กับ ผู้จัดการ ผู้จัดการ คือ คนที่คอยจัดการให้ลูกน้องทำงาน ตามที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จเสร็จสิ้น โดยมักจะเน้นไปที่การสร้างความหวาดกลัว  เปรียบเป็นตัวอย่างการทำงาน เสมือนกับการการเดินแถว ผู้จัดการจะเป็นคนที่เดินอยู่หน้าแถว แต่เดินถอยหลัง เพื่อจะได้จ้องจับผิด คนที่เดินอยู่ในแถว ว่าเดินได้ถูกต้อง หรือไม่ ผู้จัดการมักจะมีความเชื่อว่า ลูกน้องไม่สามารถเชื่อถือได้ หรือมีความสามารถไม่เพียงพอ จำเป็นที่จะต้องมีการจำตามองอย่างใกล้ชิด ไม่เช่นนั้นงานทุกอย่างจะต้องเกิดปัญหาใหญ่ขึ้น ผู้จัดการมักจะใช้ กฏ ระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ มาใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมลูกน้อง อย่างที่บอกไป เน้นสร้างความกลัวให้กับลูกน้อง ผู้จัดการมักจะกลัวปัญหาทุกชนิด แม้แต่เรื่องเพียงเล็กน้อย ก็จะคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่อยู่เสมอ และโดยมากมักจะให้ความสำคัญไปที่ "ใคร คือ สาเหตุ" ของปัญหา ผู้นำ คือ คนที่สร้างสภาวะที่เหมาะสมในการดึงเอาศักญภาพ ของลูกน้องออกมาให้ได้มากที่สุด โดยจะเน้นไปที่การสร้างขวัญ และกำลังใจ เปรียบเป็นตัวอย่างการทำงาน เสมือนกับการการเดินแถว ผู

6 คำถามที่ต้องถามตัวเองก่อนที่เราจะเริ่มทำธุรกิจ

ที่มา AllBusiness.com ก่อนที่เราจะเริ่มลงมือทำธุรกิจใดๆ นั้น เราจำเป็นที่จะต้องคิดให้ถี่ถ้วนก่อนว่า ธุรกิจนั้นๆคุ้มค่า คุ้มเวลาที่ลงไปหรือไม่ ในบทความนี้เราเรามีคำถามที่แนะนำให้ถามตัวเองก่อนที่จะตัดสินใจลงมือทำธุรกิจใดๆ           1.)       อะไรคือปัญหาที่เราพยายามจะแก้ไข นี้เป็นคำถามที่เราควรจะต้องถามตัวเองเป็นอย่างแรกเลยในการจะลงมือทำธุรกิจใดๆ  ถ้าหากเราไม่มีโฟกัสในปัญหาที่เราพยายามจะแก้ไข ธุรกิจของเราก็อาจจะไปไม่รอดเหมือนกัน                    2.)       เรามีเวลามากพอหรือไม่ แน่นอนว่าส่วนมากแล้วคนเรามักจะมีสิ่งที่อยากทำ มากกว่าเวลาที่มีให้ทำ ถ้าหากคุณไม่สามารถหาเวลาให้มากพอกับที่ธุรกิจของคุณต้องการ ธุรกิจของคุณก็อาจจะไปไม่รอดเหมือนกัน                3.)       ทำไมเราถึงต้องทำสิ่งนี้ ทำไมเราถึงต้องทำสิ่งนี้ (ไม่ใช่แค่เพื่อหาเงิน) ทำไมสิ่งที่เราทำมันถึงได้สำคัญ ทำไมธุรกิจของเราจึงมีความจำเป็น หากเราไม่สามารถตอบสิ่งเหล่านี้ได้ ธุรกิจของคุณก็อาจจะไปไม่รอดได้เหมือนกัน           4.)      ในอีก 5 ปีข้างหน้า เราจะยังสนใจทำสิ่งนี้อยู่อีกหรือไม่ ลองถามตัวเองใ

กลยุทธ์การลงทุนแบบมีความเสี่ยงต่ำ แต่ให้ผลตอบแทนสูง

ผู้เขียน  :  Mohnish Pabrai ผู้แปล  :  พรชัย รัตนนนทชัยสุข ISBN  :   9786169098461 ปีที่พิมพ์  :  2559 สำนักพิมพ์  :  Wisdom World Press จำนวนหน้า  :  208 หน้า ราคา  :  220 บาท  สรุปเนื้อหาสำคัญ    หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่สอนเกี่ยวกับหลักการลงทุนที่เน้น การจำกัดความเสี่ยง หรือพูดง่ายๆคือ การลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ โดยเน้นที่การประหยัด การลงมือทำด้วยตัวเอง การลงทุนแบบเน้นความแน่นอน การลงทุนแบบเน้นๆ เฉพาะที่มีแต้มต่อจริงๆ     ในหนังสือจะแยกอธิบายเป็นบทย่อย หลายๆบท โดยยกตัวอย่างที่แตกต่างกันออกไป เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเห็นภาพได้ชัดเจนที่สุด อย่างไรก็ตามแต่ล่ะคนอ่านแล้วก็อาจจะได้บทสรุปที่ต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับว่าเน้นที่ตรงจุดไหนมากกว่า    สำหรับตัวผมแล้วผมคิดว่าโดยย่อแล้ว แนวคิดการลงทุนแบบ Dhandho นั้นมีอยู่ ๖ ข้อหลักๆ คือ ๑.  มุ่งเน้นไปที่การลงทุนในธุรกิจที่ดำเนินการอยู่แล้ว มียอดขายอยู่แล้ว มีฐานลูกค้าอยู่แล้ว เพราะจะได้มีเงินหมุนกลับมาจากการลงทุนนั้นได้อย่างรวดเร็ว ๒.  มุ่งเน้นไปที่การลงทุนในธุรกิจที่มีความเรียบง่าย เข้าใจได้ง่ายไม่ซับซ้อน และควรจะเป็นธุรกิจที่มีการ

เรียนลัดการบริหารจัดการ Case Study in Management

ผู้เขียน  :  ดร.ชัยเสฎฐ์ พรหมศรี ISBN  :   978-974-414-256-6 ปีที่พิมพ์  :  2555 สำนักพิมพ์  :  Expert Net จำนวนหน้า  :  192 หน้า ราคา  :  165 บาท  สรุปเนื้อหาสำคัญ    หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่สอนเกี่ยวกับหลักการบริหารจัดการในโลกธุรกิจ ผ่านทางตัวอย่าง (Case Study) เพื่อใช้อธิบายทฤษฎีต่างๆ แต่โดยส่วนตัวแล้วอาจจะเป็นเพราะไม่ได้เรียนทางด้านการบริหารธุรกิจมา ทำให้อาจจะมีพื้นฐานน้อยเกินไป ทำให้ในหลายๆตัวอย่างถึงแม้จะอธิบายแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้อยู่    ตัวอย่างหัวข้อที่น่าสนใจในหนังสือเล่มนี้ กรณีศึกษาที่ ๒  การล้มละลายขอบบริษัท Eastman Kodak      อะไรทำให้บริษัทยักย์ใหญ่ในวงการถ่ายภาพต้องล้มละลายลง การปรับตัวที่ไม่ทันการ หรือการยึดมั่นอยู่กับความสำเร็จเดิมๆ สิ่งที่ฆ่า Eastman Kodak ไม่ใช่การมาของกล้องดิจิตอลหรืออย่างไร สาเหตุใดที่ทำให้บริษัท Eastman Kodak ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง กรณีศึกษาที่ ๖ กลยุทธ์ของ Starbucks Coffee    จริงๆแล้ว Starbucks Coffee ขายอะไรกันแน่ ใช่กาแฟคุณภาพเยี่ยมจริงหรือเปล่า หรือจะเป็นที่ Location อะไรทำให้กาแฟของ Starbucks แตกต่างจากกาแฟของเจ้าอื่น

To Be Successful

6 Small Tips to be successful.    1.)  Desire  =>  You got to want it badly. you must be able to visualize it, see it clearly what you going to be once you got it.    2.)  Learn for more knowledge  =>  Never stop acquiring new specialized knowledge.    3.)  Take Action and stick to the plan  =>  Plan is mean nothing if you not put your hand on it and once you planed, keep on action. Don't change your plan too quickly and often. imagine you sail the both, but keep change direction all the time. How you going to reach your destination.    4.)  Surround yourself with successful people  =>  This kind of Good power which will bring you up.    5.)  Always positive  =>  Share your positive (good power) to others, and aware of the negative (bad power) which will drag you down.    6.)  Trust your GUT  =>  whenever, you don't have enough information to make a decision. Just listen to you GUT. At least, you happy with the decision no matter what result is.

6 สิ่งที่จะต้องทำ หากอยากจะประสบความสำเร็จ

   หากคุณต้องการที่จะประสบความสำเร็จ เรามีคำแนะนำดีๆ 6 ข้อมานำเสนอคุณ 1.)  จงมีความต้องการอย่างแรงกล้าในสิ่งนั้นๆ คุณจะไม่สามารถที่จะทำสิ่งต่างๆที่คุณต้องการมันเพียงแค่ครึ่งๆ กลางๆเท่านั้น คุณจะต้องต้องการมันอย่างแรงกล้า คุณจะต้องมองเห็นในสิ่งทีคุณต้องการ (เห็นภาพว่าเมื่อได้มันมาแล้วคุณจะเป็นอย่างไร) 2.)  จงเรียนรู้อยู่เสมอ จงอย่าหยุดเรียนรู้ จงแสวงหาความรู้อยู่เสมอ อย่าปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นคนล้าหลังไปได้ 3.)  จงลงมือทำและยึดอยู่กับแผนที่ได้วางมาแล้วอยู่เสมอ อย่าได้ทำการเปลี่ยนแผนการของคุณง่ายๆ หลังจากลงมือทำไปได้เพียงครู่เดียว ลองนึกดูว่าคุณจะพายเรือไปให้ถึงฝั่งได้อย่างไร หากคุณเอาแต่เปลี่ยนเส้นทางจากซ้ายไปขวา และจากขวาไปซ้ายอยู่ตลอดเวลา จงให้เวลากับแผนของคุณ ที่คุณแน่ใจว่าได้วางมันมาเป็นอย่างดีแล้ว ยึดติดกับแผนตั้งหน้าตั้งตาทำตามแผนจนกว่าจะสำเร็จ (แน่นอนว่าหากคุณได้ให้เวลากับมันแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่ามันผิด การปรับเปลี่ยนก็คือความจำเป็น) 4.)  จงไปอยู่ในกลุ่มของผู้ที่ประสบความสำเร็จ มันอาจจะเป็นเรื่องของแรงดึงดูด แต่เชื่อสิคนที่ประสบความสำเร็จจะดึงคุณเข้าไปหาความสำเร็จ และแน่นอ

32 Days Challenge (2 June ~ 4 July 2017)

เอาล่ะ ท้าทายตัวเองสักหน่อย ตอนนี้รู้สึกตัวเองมันหน่วงๆ เฉื่อยๆ ยังไงไม่รู้ ที้งไว้นานกลัวจะเฉื่อยไปเลย ดังนั้น ตั้งกติกาง่ายๆ เพื่อท้าทายตัวเองดู สัก 3 อย่างก็พอ (เยอะไปทำไม่ไหว แล้วพาลจะเลิกไปเลย) เอาแค่ที่คิดว่าสามารถทำได้ก่อนแล้วกัน 1.)  หมูแข็งแรง     >>     อ้วนไม่ใช่ปัญหา (จริงๆ เป็นเพราะห้ามปากไม่ได้ซะมากกว่า) แต่รูปร่าง กับสุขภาพนี้สิสำคัญ           เป้าหมาย  :  ให้รูปร่างดูเข้าท่าขึ้น ไม่ให้อ้วนลงพุง ให้มีความฟิตมากขึ้นอย่าให้รูัสึกแก่เกินไป        วิธีการ               ๑.  ออกกำลังกายเล็กๆ ทุกเช้า ประมาณ 7 ~ 10 นาที               ๒.  วิ่งสัก ๒ ครั้งต่อสัปดาห์ 2.)  Up blog เข้าไปสิ     >>     ความคิดมากมายที่อยากจะทำ ทำได้ไม่ได้ไม่เป็นไร มาเขียนเอาไว้ก่อน ความเร็วเป็นเรื่องสำคัญ ดูสิว่าจะไหวมั้ย        เป้าหมาย  :  ให้มีความขยันในการจะ Post หรือ เขียน หรือ ลงรูป หรือทำฮะอะไรก็ตาม port มันออกมาจากในหัว ให้มันเป็นตัวหนังสือสักที เพราะเป็นพวกชอบคิด แต่ลงมือช้า หรือถึงขั้นไม่ทำอะไรเลย ต้องเปลี่ยนแล้วล่ะ        วิธีการ  :  ง่ายๆเลย ลงทุกอย่าง อะไรก็ได้

ทำอย่างไร ถึงจะสามารถทำงานสำเร็จได้มากขึ้น โดยลงมือทำงานให้น้อยลง

   คุณเคยรู้สึกบางมั้ยว่าทำไมงานที่เราทำในแต่ล่ะวัน มันดูเหมือนจะไม่มีการลดลงบางเลย ทุกๆวันเราต้องทำงานอย่างหนัก ตั้งแต่เช้า จนเย็น (บางวันมีถึงดึก) เพื่อให้งานเสร็จ แต่พอวันรุ่งขึ้นเราก็เจอกับงานที่เยอะเกินกว่าที่จะทำไหวอีกแล้ว    ปัญหานี้เป็นเรื่องของการมีประสิทธิผลในการทำงานล้วนๆเลย ประสิทธิผลคืออะไร เราอาจจะเข้าใจผิดกันไปว่า การทำงานหนัก คือการทำงานได้มาก แต่จริงๆแล้ว การทำงานหนัก เป็นแค่ (input) ที่เราใส่เข้าไป มันไม่ได้หมายความว่า ผลลัพท์ (output) ที่จะได้ออกมานั้นจะดีตามไปด้วย    ดังนั้นการจะแก้ปัญหานี้ จึงไม่ใช่การทำงานให้หนักขึ้น แต่จะต้องเป็นการทำงานที่ฉลาดขึ้นซะมากกว่า ด้วยหลักการในการสร้างประสิทธิผลในการทำงานให้สูงขึ้น ทั้ง ๕ ข้อ    ๑.  จงใส่ใจกับการจัดการตัวเอง คือ วางแผน จัดการเวลาที่จะทำงานใดๆ ให้เสร็จ โดยหมายร่วมไปถึงการจัดเก็บเอกสาร อุปกรณ์ต่างๆที่มีความจำเป็นในการทำงานนั้นๆด้วย ไม่อย่างนั้นเราจะต้องมาเสียเวลาในการหาเอกสาร หรืออุปกรณ์ต่างๆอีก ทำให้ใช้เวลามากกว่าที่ควรจะเป็นได้    ๒.  ลุยงานที่มีความสำคัญมากที่สุดก่อน และถ้าเลือกได้จงเลือกทำงานที่ยาก และไม่อยา

การเลี้ยงเด็กไม่ให้โตขึ้นเป็นคนเอาแต่ใจ โดย Julie Revelant

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าคุณ Julie Revelant นี้เป็นใครก็ไม่รู้ วันก่อนไปเจอบทความของเจ๊เข้าเห็นว่าหัวข้อมันดูเร้าใจดี (10 strategies to avoid rising a spoiled brat) เลยขอเอามาแบ่งปันกันนะครับ    ๑.  อย่าทำอะไรๆ ให้เด็กง่ายเกิ๊น สิ่งนี้ชัดเจนว่าเกิดขึ้นเพราะความรัก เรากลัวว่าลูกเราจะลำบาก จนยอมเอาตัวไปเป็นคนรับใช้ ค่อยแก้ปัญหาทุกสิ่งอย่างให้ลูก จนลูกก็ชักไม่แน่ใจแล้วว่า จริงๆเราเป็นพ่อแม่ที่เขาต้องเชื่อฟัง หรือเป็นคนรับใช้ค่อยบริการตามที่เขาร้องขอกันแน่    ๒.  กำหนดขอบเขตในเรื่องต่างๆ เป็นธรรมชาติของมนุษย์ (ไม่ใช่แค่เด็ก) ที่มีสัญชาตญาณในการทดสอบ ทดลอง ดังนั้นถึงแม้เราจะกำหนดขอบเขตในเรื่องต่างๆแล้ว แต่ลูกของเราก็จะทำการทดสอบตัวพ่อแม่ ผู้ตั้งกฏอยู่เสมอ ดังนั้นหากเราต้องการให้ลูกของเราเข้าใจในเรื่องกฏเกณฑ์ต่างๆ และอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมได้ เราต้องมีความหนักแน่นในกฏต่างๆ (ไม่เช่นนั้นเมื่อลูกเราโตขึ้นไปแล้ว ก็จะมีความคิดที่ว่ากฏนั้นมันช่างไร้สาระเสียจริงๆ)    ๓.  ให้ความสำคัญกับเรื่องที่สำคัญ แน่นอนว่าเราไม่อยากไปกำหนดกรอบให้ลูกเราไปเสียจนหมดทุกเรื่อง แต่อย่างไรก็ตามในเรื่องที

เทคนิคในการบริหารเวลา

   ข่าวดีก็คือ คุณไม่ต้องเป็นยอดมนุษย์ หรือผู้วิเศษเพื่อที่จะสามารถจัดการกับเวลาได้ แต่อย่างไงก็ตามคุณจะต้องจัดการกับตัวเอง เพื่อให้ไปจัดการกับเวลาอีกที ในบทความนี้ผมขอเสนอ ๖ วิธีคิด วิธีปฏิบัติเพื่อการบริหารเวลาที่ดี โดยคุณเองก็น่าจะได้แนวคิดดีๆ เพื่อนำไปใช้จัดการกับเวลาของคุณบ้างไม่มากก็น้อย    ๑.  จดบันทึกกำหนดการต่างๆ รวมไปถึงการจัดเวลาเพื่อทำสิ่งต่างๆอยู่เสมอ เพราะสิ่งที่ทำให้คนเราเสียเวลามากที่สุดก็คือ การไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไร ณ เวลาใด ลองคิดดูว่าคุณเองเสียเวลากับการนั้งนึกว่าจะต้องทำไรบ่อย และนานแค่ไหน    ๒.  จัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆที่คุณจะต้องทำ ต้องไป จำไว้ว่าเราควรจะต้องทำแต่งานที่มีความสำคัญเท่านั้น อย่ามัวเสียเวลากับงานที่ไม่ได้มีคุณค่าแต่อย่างใด และถ้าหากเลือกได้ ให้แน่ใจว่าคุณลงมมือทำงานที่ยาก (และไม่อยากจะทำ) มากที่สุดเสียก่อน "จงกินคางคกตัวที่อ้วนที่สุดก่อนเสมอ"    ๓.  จงอย่ากลัวที่จะ "ปฏิเสธ" ต่อสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงาน หรือกิจกรรม ที่เราเห็นแล้วว่าไม่ได้มีความสำคัญใดๆ กับเรา เรื่องนี้จริงๆแล้ว สำหรับคนไทยเราเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะยาก

คำคมที่ชอบ

คำคมที่ชอบ "คนที่ตั้งใจทำงานจะมองเห็นวิธี คนที่ไม่ตั้งใจทำจะมองเห็นข้อแก้ตัว" (สุภาษิตฟิลิปปินส์) "ชัยชนะมักวิ่งไปหาผู้ที่เตรียมทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมอยู่เสมอ เราเรียกสิ่งนั้นว่า ความโชคดี ผู้ที่ข้ามขั้นตอนจำเป็นไป ในภายหลังจะต้องได้รัับความล้มเหลวอย่างแน่นอน เราเรียกสิ่งนั้นว่า ความโชคร้าย"  (โรอัลด์ อามุนด์เซน นักสำรวจขั้วโลก)